จิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
(Energy and Environmental Conservation Awareness)
หลักการและเหตุผล
การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) การขยายตัวทางเศรษฐกิจทําให้มาตรฐานในการดํารงชีวิตสูงตามไปด้วย มี การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติเกินความจําเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิต จึงจําเป็นต้องใช้พลังงานมาก ขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ก็ช่วยเสริมให้การนําทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ทําได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว มีผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร ที่อยู่อาศัย การสาธารณสุข การศึกษา การว่างงาน ฯลฯ ทำให้ต้องเร่งการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรกรรมและการ อุตสาหกรรมให้มากยิ่งขึ้น
จากการเร่งการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมส่งผลให้ประเทศไทยในปัจุบันมีการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยพลังงานที่นำมาใช้มีทั้งจากในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยสภาวะการขาดแคลนพลังงานของโลกในอนาคตอาจดูเป็นเรื่องไกลตัวเรา แต่ในความเป็นจริงพลังงานต่างๆที่ได้จากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ซึ่งเราใช้อยู่อาจหมดไปในภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้นเพื่อบริหารจัดการปัญหาดังกล่าวหน่วยงานภาครัฐจึงได้ออกฎหมายกฎบังคับใช้ เรื่องการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย การอนุรักษ์พลังงานภายใต้พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.๒๕๓๕ (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๕๐) สำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม
ดังนั้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้ความเข้าใจในการจัดการปัญหาด้านพลังงานและการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเพื่อให้สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด กิจการหรือสถานประกอบการควรดำเนินการจัดฝึกอบรม หลักสูตร จิตสำนึกการอนุรักษ์พลังงานในองค์กร (Energy Conservation Awareness) ให้กับลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง องค์กรใดก็ตามที่พนักงานทุกคนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน องค์กรนั้นจะเกิดการอนุรักษ์และใช้พลังงานได้เกิดประโยชน์สูงสุดและต่อเนื่องยั่งยืน ดังนั้นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “จิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม” จะเป็นการฝึกอบรมที่ให้พนักงานตระหนักถึงคุณค่าของพลังงานและผลกระทบจากการใช้พลังงานที่มีต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงขั้นตอนวิธีการในการสร้างจิตสำนึกอย่างเป็นระบบและง่ายในการนำไปใช้ กรณีตัวอย่าง วิดีโอกรณีศึกษา และกิจกรรมต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งการระดมสมองในการจัดทำแผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นแก่องค์ได้
วัตถุประสงค์
1. เพื่อสร้างให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานด้วยจิตสำนึกที่ดี ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน
2. เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
3. เพื่อเสริมสร้างแนวคิดการป้องกัน การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาด้านพลังงานอย่างเป็นมีรูปแบบ
4. เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาหน่วยงานและองค์กรอย่างต่อเนื่อง
5. เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจต่อผลกระทบของการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง
6. เพื่อสร้างการทำงานเป็นทีม การยอมรับในความเห็นที่แตกต่าง เกิดความสามัคคี
7. เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมให้กับผู้เข้ารับการอบรม
หัวข้อการฝึกอบรม
1. พลังงานและพลังงานทดแทน
– แหล่งที่มาของพลังงาน
– พลังงานสำคัญอย่างไร
– การคำนวณการใช้พลังงานในสำนักงาน
– การใช้พลังงานของโลกและประเทศไทยในปัจจุบัน
– พลังงานทดแทนในอนาคต
– จิตสำนึกและกิจกรรมการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน
2. ผลกระทบจากการใช้พลังงานต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
– ภาวะโลกร้อน ที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม
– ผลกระทบจากการใช้พลังงานและการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
– ผลกระทบด้านสภาวะอากาศของโลกและสิ่งแวดล้อม
– ปัญหาของกิจกรรมอนุรักษ์พลังงานในองค์กร
– ทัศนะคติเดิมๆที่ไม่ช่วยกันอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
3. จิตสำนึกการอนุรักษ์พลังงานการอนุรักษ์พลังงานในระบบต่างๆ
– ระบบแสงสว่าง
– ระบบการปรับอากาศ
– ระบบการอัดอากาศ
– ระบบมอเตอร์
– การอนุรักษ์พลังงานในสำนักงาน
– อุปกรณ์ในสำนักงานต่างๆ
4. แนวทางประหยัดหยัดพลังงาน
5. ตัวอย่างการลดการใช้พลังงานในสำนักงาน
Workshop / กรณีศึกษา
Workshop 1 : การทำงานเป็นทีม
Workshop 2 : ค้นหาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินมากที่สุดในโรงงาน
Workshop 3 : ออกแบบการประหยัดพลังงานในหน่วยงาน
Workshop 4 : ฝึกการแก้ไขปัญหา
ผู้เข้าฝึกอบรม
– พนักงาน
– หัวหน้างาน
– ผู้จัดการ
ระยะเวลาการฝึกอบรม:
1 วัน (6 ชั่วโมง)
จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรม:
30 คน
วิธีการฝึกอบรม: บรรยาย 40% กิจกรรมการเรียนรู้ 60%
– เป็นการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ (Adult Learning) โดยผู้เรียนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในแนวทางของตัวเอง
– กิจกรรมการเรียนรู้
– การบรรยาย-สาธิต
– ระดมสมอง – เกมประกอบหลักสูตร – กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์
– การแสดงบทบาทสมมติ
– วิทยากรทำหน้าที่เพียงผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) ทำให้การพัฒนาเป็นไปตามธรรมชาติของผู้เรียนรู้นั้น ๆ
วิธีการประเมินผล
– จากแบบสอบถามและการสังเกต
– จากการสุ่มตัวอย่างทดสอบและทบทวนกลับ
– จากข้อมูลที่ได้รับและการติดตาม วิเคราะห์ประเมินผลจากนามธรรมสู่รูปธรรมจนเกิดประสิทธิผลสูงสุด