การสร้างทัศนคติเชิงบวก ฝ่าวิกฤตการขาย
(Positive Attitude with Want to Sell and Successful in Sales)
หลักการและเหตุผล
ถ้าจะทำให้งานขายเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องท้อแท้ใจ แถมยังขายได้ประสบความสำเร็จ นักขายจำเป็นต้องมีพื้นฐานหนึ่งซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่จะทำให้งานขายนั้น ๆ ยังสามารถดำเนินก้าวหน้าต่อยอดขึ้นเป็นลำดับต่อไปได้ นั่นก็คือ การมีทัศนคติเชิงบวกเพื่อฝ่าวิกฤตการขาย ทัศนคติเกี่ยวกับงานขายเป็นเรื่องที่ต้องมาทำความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เข้าใจถึงต้นทุนพื้นฐานนี้ที่ต้องมี และต้องมีให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย การมีทัศนคติที่ดีกับงานขายไม่ใช่การหลอกตนเองว่างานขายมันดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เพื่อให้ตนเองสบายใจในเบื้องต้น แล้วก็มากลุ้มใจในตอนท้าย แต่การมีทัศนคติที่ดีกับงานขายจะช่วยให้ทราบว่า หลายต่อหลายครั้งที่งานขายไม่ประสบความสำเร็จ เกิดจากการที่ตนเองคิดเอง ตัดสินเอง สรุปเอง ไปแล้วแทบทั้งสิ้น ซึ่งจริง ๆ ลูกค้าอาจจะไม่ได้คิดอย่างที่เราคิดก็เป็นได้นั่นเอง
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสร้างแนวความคิดต่องานขายด้วยต้นทุนทางความคิด
2. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมองเห็นประโยชน์ของการมีทัศนคติเชิงบวก ฝ่าวิกฤตการขาย
3. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดแรงบันดาลใจและช่วยส่งผลลัพธ์ที่ดีต่องานขาย
4. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถพัฒนาตนเองให้อยากขาย งานขายเป็นงานแห่งความสุขและอยากสำเร็จในงานขาย
หัวข้อการฝึกอบรม
1. เรียนรู้และเข้าใจตนเอง
2. เรียนรู้และเข้าใจผู้อื่น
3. เรียนรู้และเข้าใจในธรรมชาติของงานขาย
4. ทัศนคติในการมองโลก มองตนเอง มองผู้อื่นรับวิกฤตการขาย
5. ทำไมต้องสร้างต้นทุนทางความคิดก่อนการขาย
6. การสร้างทัศนคติเชิงบวกแบบคิดอยากขายฝ่าวิกฤตการขาย
7. เทคนิคการตรวจจับทัศนคติเชิงลบ
8. เทคนิคการปรับเปลี่ยนทัศนคติเชิงลบไปเป็นเชิงบวก
9. ทัศนคติที่ดีต่อการร่วมกันทำงานเป็นทีมในการขาย
10. แนวคิดดี ๆ ต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งในงานขาย
11. องค์กรแห่งความสุข สร้างได้ด้วยทัศนคติเชิงบวก
12. กรณีศึกษาจากประสบการณ์ตรงของวิทยากร
Workshop แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติ
13. สรุปเนื้อหาแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์จากผู้เข้ารับการอบรม
14. ข้อคิดฝากให้กับผู้เข้ารับการอบรม เพื่อนำกลับไปฝึกปฏิบัติให้เกิดการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น
ผู้เข้าฝึกอบรม
– พนักงาน
– หัวหน้างาน
– ผู้จัดการ
ระยะเวลาการฝึกอบรม:
1 วัน (6 ชั่วโมง)
จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรม:
30 คน
วิธีการฝึกอบรม: บรรยาย 40% กิจกรรมการเรียนรู้ 60%
– เป็นการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ (Adult Learning) โดยผู้เรียนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในแนวทางของตัวเอง
– กิจกรรมการเรียนรู้
– การบรรยาย-สาธิต
– ระดมสมอง – เกมประกอบหลักสูตร – กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์
– การแสดงบทบาทสมมติ
– วิทยากรทำหน้าที่เพียงผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) ทำให้การพัฒนาเป็นไปตามธรรมชาติของผู้เรียนรู้นั้น ๆ
วิธีการประเมินผล
– จากแบบสอบถามและการสังเกต
– จากการสุ่มตัวอย่างทดสอบและทบทวนกลับ
– จากข้อมูลที่ได้รับและการติดตาม วิเคราะห์ประเมินผลจากนามธรรมสู่รูปธรรมจนเกิดประสิทธิผลสูงสุด